ในภาษาอังกฤษคำว่า action verb คือ หมายถึงคำกริยาที่ใช้แสดงการกระทำหรือการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการสื่อสารในภาษาอังกฤษ คำกริยาเหล่านี้ทำหน้าที่อธิบายว่าผู้พูดหรือผู้เขียนกำลังทำอะไรในประโยค โดยทั่วไปแล้ว action verbs จะสามารถแสดงถึงกิจกรรมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน เช่น run, eat, write, และ jump
การเข้าใจ action verb คือ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้เรียนภาษาอังกฤษ เนื่องจากช่วยให้สามารถสร้างประโยคที่มีความหมายและสื่อสารได้อย่างชัดเจน
I. Action verb คืออะไร?
ในส่วนนี้เราจะมาทำความเข้าใจความหมายและคุณลักษณะของ action verb คือ คำกริยาแสดงการกระทำที่ใช้บ่งบอกถึงการกระทำหรือการเคลื่อนไหวของบุคคลหรือสิ่งของ
ความหมายของ Action Verb
Action verb คือ คำกริยาที่แสดงถึงการกระทำหรือการเคลื่อนไหว ซึ่งสามารถเกิดขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ และมักใช้ในประโยคที่แสดงการทำงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ
ตัวอย่าง: “She runs every morning.” (เธอวิ่งทุกเช้า)
ในประโยคนี้ “runs” เป็น action verb คือ ที่แสดงถึงการกระทำที่เกิดขึ้นจริง
Action verbs มักใช้ในรูปแบบต่าง ๆ ตาม tense และบุคคลที่แตกต่างกัน และมีความแตกต่างจาก stative verbs ซึ่งมักใช้แสดงสภาวะหรือความรู้สึกที่คงที่
II. จำแนกประเภท Action Verb
ในส่วนนี้เราจะแบ่ง action verbs ออกเป็นสองประเภทหลัก คือ
- อกรรมกริยา (Intransitive verbs)
- สกรรมกริยา (Transitive verbs)
การแยกประเภทนี้ช่วยให้เข้าใจการทำงานของคำกริยาในประโยคได้ชัดเจนมากขึ้น เพราะคำกริยาแต่ละประเภทมีบทบาทและการใช้งานที่แตกต่างกัน
1. อกรรมกริยา (Intransitive Verbs)
อกรรมกริยา (Intransitive verbs) คือคำกริยาที่ไม่ต้องการกรรมตรงตามหลังในประโยค เช่น “sleep”, “walk”, “live” ซึ่งคำกริยาทั้งหมดนี้ไม่ต้องการคำนามหรือประโยครองมาเสริมความหมายหลังจากพวกมัน ตัวอย่างเช่น “He slept” หรือ “The cat ran fast” อกรรมกริยาเป็นกลุ่มคำกริยาที่ช่วยแสดงการกระทำหรือสถานะที่เกิดขึ้นโดยตรงโดยไม่ต้องมีกรรมตามหลัง.
ลักษณะเฉพาะของอกรรมกริยา (Intransitive verbs)
- ไม่ต้องตามด้วยกรรมตรง: ในประโยคที่ใช้คำกริยาอกรรมกริยา จะไม่มีคำหรือวลีที่ทำหน้าที่เป็นกรรมตรงตามหลังคำกริยา
- ตัวอย่าง: “The baby sleeps.”
(เด็กน้อยหลับ)
ในที่นี้ “sleeps” เป็นอกรรมกริยาเพราะไม่ได้ตามด้วยสิ่งที่เด็กน้อยหลับลงไป
- ตัวอย่าง: “The baby sleeps.”
- สามารถใช้คำวิเศษณ์เพิ่มเติมได้: อกรรมกริยาสามารถถูกขยายความด้วยคำวิเศษณ์ (adverbs) หรือวลีที่บอกเวลา สถานที่ หรือวิธีการกระทำ แต่ยังคงไม่ต้องการกรรมตรง
- ตัวอย่าง: “Birds fly gracefully.”
(นกบินอย่างสง่างาม)
“gracefully” เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยาย “fly” แต่ไม่มีกรรมตรงตามมา
- ตัวอย่าง: “Birds fly gracefully.”
- บางครั้งอกรรมกริยาอาจตามด้วยวลีพรรณนา (prepositional phrase): วลีเหล่านี้ทำหน้าที่อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานที่ เวลา หรือวิธีการที่เกิดการกระทำ โดยไม่ถือว่าเป็นกรรมตรง
- ตัวอย่าง: “He laughed at the joke.”
(เขาหัวเราะกับเรื่องตลก)
ในที่นี้ “at the joke” เป็นวลีพรรณนา แต่ “laughed” ยังเป็นอกรรมกริยา เพราะไม่ต้องมีกรรมตรง
- ตัวอย่าง: “He laughed at the joke.”
ตัวอย่างเพิ่มเติมของอกรรมกริยา
- Arrive: “The train arrived on time.” (รถไฟมาถึงตรงเวลา)
- Die: “Many plants die without water.” (พืชจำนวนมากตายหากไม่มีน้ำ)
- Sleep: “She sleeps peacefully.” (เธอหลับอย่างสงบ)
- Fall: “Leaves fall in autumn.” (ใบไม้ร่วงในฤดูใบไม้ร่วง)
- Laugh: “They laughed loudly.” (พวกเขาหัวเราะเสียงดัง)
การเข้าใจและใช้งานอกรรมกริยาเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างประโยคที่มีความหมายชัดเจนและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ในภาษาอังกฤษ หวังว่าคำอธิบายนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ อกรรมกริยา (Intransitive verbs) ได้ดีขึ้นและสามารถนำไปใช้ในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. สกรรมกริยา (Transitive Verbs)
สกรรมกริยา (Transitive Verbs) คือคำกริยาในภาษาอังกฤษที่ต้องมีกรรมตรง (direct object) ตามหลังคำกริยาเพื่อให้ประโยคสมบูรณ์ กล่าวคือ คำกริยาเหล่านี้แสดงถึงการกระทำที่มีผลต่อสิ่งหรือบุคคลที่รับผล (object) โดยที่กรรมตรงนี้จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำเกิดขึ้นกับอะไร
ตัวอย่าง:
“She reads a book.”
ในประโยคนี้ “reads” เป็นสกรรมกริยา เพราะต้องตามด้วยกรรมตรง “a book” เพื่อบ่งบอกว่าเธอกำลังอ่านอะไร
คุณลักษณะของสกรรมกริยา (Transitive Verbs)
- ต้องมีกรรมตรงตามหลังคำกริยา:
เมื่อใช้สกรรมกริยาในประโยค จำเป็นต้องมีคำนามหรือวลีคำนามที่ทำหน้าที่เป็นกรรมตรง
ตัวอย่าง: “They built a house.” (พวกเขาสร้างบ้าน) - แสดงการกระทำที่มีผลต่อสิ่งหรือบุคคล:
คำกริยาสกรรมกริยาแสดงให้เห็นว่าการกระทำส่งผลกระทบต่อสิ่งที่อยู่หลังคำกริยา
ตัวอย่าง: “I ate an apple.” (ฉันกินแอปเปิ้ล) - สามารถขยายความด้วยคำวิเศษณ์หรือวลี:
แม้สกรรมกริยาจะต้องตามด้วยกรรมตรง แต่ก็สามารถนำคำวิเศษณ์หรือวลีเพิ่มเติมมาใช้เพื่อบอกข้อมูลเชิงเวลา สถานที่ หรือวิธีการได้
ตัวอย่าง: “She painted the wall beautifully.” (เธอทาสีกำแพงอย่างสวยงาม)
อ้างอิง: คำกริยา อังกฤษ | เรียนรู้ 10 ประเภทคำกริยาง่ายๆ
III. สรุปข้อแตกต่างระหว่าง Action Verb กับ Stative Verb
ในส่วนสุดท้ายนี้ เราจะสรุปข้อแตกต่างระหว่าง action verbs กับ stative verbs เพื่อให้คุณสามารถจำแนกและใช้งานได้อย่างถูกต้อง
1. Action Verb
- ความหมาย: แสดงการกระทำหรือการเคลื่อนไหวที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
- การใช้งาน: มักใช้ในรูปแบบ continuous (progressive) เช่น “I am running.”
- ตัวอย่าง: run, eat, write, jump
- การใช้งานในประโยค: “She writes every day.” (เธอเขียนทุกวัน)
2. Stative Verb
- ความหมาย: แสดงสภาวะ ความรู้สึก หรือความคิดที่คงที่ ไม่เปลี่ยนแปลง
- การใช้งาน: มักใช้ในรูปแบบ simple present และไม่ใช้ continuous
- ตัวอย่าง: know, believe, love, seem
- การใช้งานในประโยค: “I know the answer.” (ฉันรู้คำตอบ)
สรุปข้อแตกต่าง
- Action verbs แสดงถึงการกระทำที่เกิดขึ้นจริงและมักผันแปรตาม tense ในขณะที่ stative verbs แสดงถึงสถานะหรือความรู้สึกที่คงที่และไม่ควรใช้อยู่ในรูป continuous
- ในการสื่อสาร การเลือกใช้ให้ถูกต้องจะช่วยให้ประโยคของคุณชัดเจนและตรงประเด็น
IV. ตารางคำกริยาแสดงการกระทำ
ด้านล่างนี้คือ ตารางคำกริยาแสดงการกระทำ (Action Verbs) ที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับตัวอย่างคำศัพท์เพิ่มเติมที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและนำไปใช้ในการสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
คำศัพท์ | การออกเสียง (IPA) | ความหมาย | ตัวอย่างประโยคพร้อมคำแปล |
Run | /rʌn/ | วิ่ง | “He runs every morning.” (เขาวิ่งทุกเช้า) |
Jump | /dʒʌmp/ | กระโดด | “The cat jumps onto the table.” (แมวกระโดดขึ้นบนโต๊ะ) |
Eat | /iːt/ | กิน | “They eat breakfast at 7 a.m.” (พวกเขากินอาหารเช้าเวลา 7 โมงเช้า) |
Write | /raɪt/ | เขียน | “She writes a letter to her friend.” (เธอเขียนจดหมายถึงเพื่อนของเธอ) |
Speak | /spiːk/ | พูด | “He speaks English fluently.” (เขาพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว) |
Read | /riːd/ | อ่าน | “I read a book every week.” (ฉันอ่านหนังสือทุกสัปดาห์) |
Play | /pleɪ/ | เล่น | “The children play in the park.” (เด็กๆ เล่นในสวน) |
Drive | /draɪv/ | ขับ (รถ) | “She drives to work every day.” (เธอขับรถไปทำงานทุกวัน) |
Build | /bɪld/ | สร้าง | “They build houses in the city.” (พวกเขาสร้างบ้านในเมือง) |
Dance | /dæns/ | เต้น | “We dance at the party.” (พวกเราร้องรำ/เต้นในงานปาร์ตี้) |
Walk | /wɔːk/ | เดิน | “They walk to school every day.” (พวกเขาเดินไปโรงเรียนทุกวัน) |
Swim | /swɪm/ | ว่ายน้ำ | “I love to swim in the ocean.” (ฉันชอบว่ายน้ำในมหาสมุทร) |
Sing | /sɪŋ/ | ร้องเพลง | “She sings beautifully at the concert.” (เธอร้องเพลงอย่างสวยงามในงานคอนเสิร์ต) |
Cook | /kʊk/ | ทำอาหาร | “He cooks dinner every evening.” (เขาทำอาหารเย็นทุกเย็น) |
Listen | /ˈlɪs.ən/ | ฟัง | “Please listen carefully to the instructions.” (กรุณาฟังคำแนะนำอย่างตั้งใจ) |
Watch | /wɒtʃ/ | ดู | “We watch movies on weekends.” (พวกเราดูหนังในวันหยุดสุดสัปดาห์) |
Work | /wɜːrk/ | ทำงาน | “She works hard every day.” (เธอทำงานหนักทุกวัน) |
Study | /ˈstʌd.i/ | เรียน | “They study English at school.” (พวกเขาเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียน) |
Travel | /ˈtræv.əl/ | เดินทาง | “I love to travel to new places.” (ฉันชอบเดินทางไปสถานที่ใหม่ ๆ) |
Climb | /klaɪm/ | ปีน | “He climbs mountains during the holidays.” (เขาปีนเขาในช่วงวันหยุด) |
ในบทความนี้เราได้อธิบาย action verb คือ คำกริยาแสดงการกระทำในภาษาอังกฤษ พร้อมจำแนกประเภทออกเป็นคำกริยาแสดงการกระทำ (action verbs) และคำกริยาแสดงสภาวะ (stative verbs) ทั้งนี้เราได้อธิบายวิธีการใช้ในแต่ละบริบทและสรุปข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่าง action verbs กับ stative verbs ความรู้เหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ หวังว่าบทความนี้จะเป็นแหล่งความรู้ที่มีคุณค่าในการพัฒนาทักษะไวยากรณ์ของคุณ